9 ธันวาคม 2561

ResMed AirSense 10 เครื่องแก้ การนอนกรน #เพื่อนกันตลอดชีวิต

7 มิถุนายน 2561

คำนำ


เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่ภรรยาผมมีปัญหาด้านการนอน คือดั้งเดิมก็มีกรนบ้างแต่ไม่ได้รุนแรงมาก (รวมทั้งผมด้วย กรนหนักมาก) และสิ่งที่พ่วงมาด้วยคือ นอนแล้วเหมือนไม่อิ่ม ตื่นมาแล้วมีง่วงๆตลอดเวลา บ่ายๆนี่ถึงขั้นขาดสติมาแล้วก็ยังมี คือหลับไปคาโต๊ะทำงาน (ทำงานกันเป็นธุรกิจครอบครัว เลยอยู่ด้วยกันตลอด) ก็เลยไปเทสการนอนหลับมา ทำให้รู้กลไกของร่างกายว่าเรานอนมีปัญหาอะไรบ้าง และหมอแนะนำให้ใช้เครื่อง CPAP (ซีแพพ) หรือ  “Continuous Positive Airway Pressure” เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังว่ามันคืออะไร

ภรรยาผมใช้งานไปราวๆ 1 ปี ชีวิตดีขึ้นเยอะมาก เลยบอกว่า จริงๆผมก็เป็นคนกรนหนักมาก น่าไปเทสการนอนนะว่าปัญหามีอะไรบ้างไหม จะได้แก้ไขได้ ผมก็แอบดื้ออยู่นาน ไม่ยอมไปเทสซักที

แต่คนที่ทำให้ผมตัดสินใจไปเทสคือ เจ้าลูกสาวตัวแสบ วัย 6 ขวบของผมครับ พี่แกโวยผมว่า ป๊ากรนหนักมากเกินไปแล้วนะ หนูตื่นมากลางดึกบ่อยมากเพราะป๊าคนเดียวเลย ทำให้ผมมานั่งคิดว่า สงสัยเราอาการหนักขึ้นแน่เลย (แน่ดิไม่มีใครเห็นตัวเองตอนนอนแน่ๆ ต้องมโนเอาเอง) ไปลองหาหมอดีกว่า

พอไปโรงพยาบาลปรึกษาหมอ ก็ได้ความว่า

คุณต้องเข้ารับการเทส การนอนหลับก่อนเลย เพราะหมอยังตอบไม่ได้ว่าตอนคุณนอน เกิดอะไรขึ้นบ้าง ค่าเทสราคาแอบดุนะครับ ราคาราวๆ 12000 บาท แต่ผมบอกตามตรงครับ กับสุขภาพของคุณ คุ้มครับ ถ้าคุณมีภาวะเรื่องการนอนกรนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ก็เลยนัดวันเพื่อเทสการนอนหลับ เพราะห้องเทสมีห้องเดียว และบุคลากรก็มีจำกัดมาก เพราะจะมีคนนั่งเฝ้าการนอนของเราอยู้ห้องข้างๆที่เรานอน และก็รับลูกค้าได้แค่ครั้งละ 1 คน ดังนั้นคิวยาวเป็นหางว่าว รอนานอยู่เกือบเดือนถึงจะมีคิวว่าง

วันที่มาเทสการนอน

มีข้อห้ามก่อนที่จะเทสคือ อย่ากินอะไรที่มีคาเฟอีนนะจ้า ซึ่งผมเป็นคนติดกาแฟมาก วันนั้นแทบลงแดง ต้องงดกาแฟ 1 วัน เพราะกลัวเรานอนไม่หลับ

พอได้เวลา 20.00 น. อาจงงทำไมดึก ก็จะมานอนอะ ต้องมาตอนดึกดิ ก็ไปที่ห้องเทส เปิดประตูเข้าไปมีตะลึง ห้องแรกจะเป็นห้องที่เจ้าหน้าที่จะคอยดูคอมพิวเตอร์ และกราฟต่างๆของเซ็นเซอร์ที่จะติดที่ตัวเรา ซึ่งห้องนี้จะมีประตูเข้าไปห้องด้านในอีกที เป็นห้องนอน มีห้องน้ำในตัว และแต่งห้องให้สบายๆ เหมือนอยู่บ้านที่สุดเพราะจะได้นอนหลับได้อย่างสบายใจ

แต่ถ้ามองดีๆรอบๆห้องจะเห็นเลยว่า มีสิ่งที่น่าสะเทือนใจหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ทั้งตัวเซ็นเซอร์เพียบเกิน 30 จุด ที่จะมาแปะบนร่างกายของเราจัดได้ว่าเป็นพวง ทั้งกล้องวงจรปิด เพื่อดูว่าเรานอนดิ้นไหม นอนเป็นอย่างไรบ้าง ไมโครโฟนแอบฟังว่าเรากรนอยู่ไหม

แม่งโครตไม่น่านอน 

ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวไปคือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้คุณหลับให้ได้ ท่องไว้ในใจ 12000 บาท ถ้าวัดผลไม่ได้มาอีกครั้งก็ 12000 บาท จะยอมจ่ายใหม่ไหมมมม .........

ดังนั้นอะไรที่ทำให้นอนหลับเหมือนอยู่บ้าน ขนมาครับ

ผมเป็นคนติดหมอนกับผ้าห่ม ก็เลยแบกไปด้วย ถามเจ้าหน้าที่ว่าเคยเจอไรแปลกๆบ้าง ส่วนมากจะเป็นพวกติดหมอนข้าง ตุ๊กตา ต้องเอามากอดด้วยถึงนอนหลับ อะไรประมาณนี้

แต่มาถึงขั้นนี้ก็นะต้องไปให้สุด อย่างแรกที่ต้องทำคือ อาบน้ำก่อน

เสร็จจากอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าก็กดเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการติดเซ็นเซอร์ต่างๆบนร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า โดนไปกว่า 30 ตำแหน่งแน่ๆ คนที่ขี้รำคาญมากๆผมว่ามีนอนไม่หลับ

ผมเลยถามพี่พยาบาลว่า ไอ้เซ็นเซอร์นี่มันทำไรบ้าง ก็ได้คำตอบมาว่า เซ็นเซอร์มีหลายแบบมากๆ ทั้งวัดคลื่นสมอง การเต้นหัวใจ การเคลื่อนไหวว่านอนดิ้นไหม การสูดลมหายใจ แม่งเพียบมาก

โดยตอนที่ติดไป พี่เค้าก็จัดสายไฟไป ลักษณะสายเซ็นเซอร์มันเหมือนสายไฟเส้นเล็กๆ คล้ายๆเส้นหมี่ขาว ระโยงระยายเต็มตัว แต่การจัดสายไฟของพี่พบาบาลนี่เก่งมาก รวบรวมสายไฟได้สะดวกแก่การนอนมาก ไม่คิดว่าจะหลับได้สบายๆ มันไม่เกะกะนะครับ เคลื่อนไหวได้ปรกติ โดยสายทั้งหมดจะรวมไปที่กล่องๆนึง เราจะสะพายมันไว้ที่ข้างเอว โดยจะมีสายเส้นใหญ่ ส่งสัญญาณไปที่เครื่องรับสัญญาณอีกที ซึ่งมันถอดสายเข้าออกได้ พอนอนก็วางบนเตียงมันเลยไม่เกะกะ สามารถถอดออก ไปห้องน้ำได้ตามปรกติ

พอติดเสร็จ เค้าจะเทสว่าสัญญาณมาหมดไหม จากตอนแรกที่เข้าห้องมา จนติดเครื่อง กินเวลาสิริรวม 2 ชั่วโมงกว่าๆ (รวมอาบน้ำด้วย) เสร็จเกือบ 5 ทุ่ม ได้เวลานอนเลย

พยาบาลก็จะบิ้วให้ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย จะได้ไม่ตื่นกลางดึกมาเดินเข้าห้องน้ำ อ่อ มีตู้เย็นในห้องนอนด้วยนะครับ ใส่น้ำไว้เพียบ สามารถหยิบดื่มเท่าไหร่ก็ได้ตามสะดวก ตู้เย็นจริงๆไม่ได้เอามาแช่น้ำหรอกครับ เปิดมานี่ข้างในมีหน้ากากอยู่เพียบ ซึ่งจะอธิบายเรื่องหน้ากากอีกที

การเทสจะมี 2 ช่วง

ช่วงแรกเค้าจะจับกราฟว่าเรานอนปรกติเดิมๆ เป็นอย่างไรบ้าง และช่วงที่ 2 พยาบาลจะมาปลุกเราราวๆ ตี 1 - ตี 2 เพื่อใส่เครื่อง CPAP

เครื่อง CPAP เป็นเครื่องช่วยอัดแรงดันลม เข้าไปในช่องทางเดินหายใจให้เปิดกว้างออก เราจะได้ไม่นอนกรน เพราะการกรนเกิดจากการที่กล้ามเนื้อในช่องคอหย่อนตัวจากการผ่อนคลายจากการนอนหลับ ทำให้อากาศที่ผ่านทางเดินหายใจมันตีบลง อากาศเลยเข้าไปไม่ได้

หน่วยของเครื่อง CPAC คือ cmH2O (เซ็นติเมตรน้ำ) ซึ่งจะเป็นค่าเอาไว้ปรับความแรงของเครื่องว่าจะอัดลมแรงเท่าไหร่ดี

ได้เวลานอน ก็ทำใจอยู่นาน แต่ก็พยายามทำตัวให้เหมือนอยู่บ้าน กดๆดู Facebook ก่อนนอน เล่น Line อะไรไป ก็เริ่มง่วงเข้านอนได้

พอ ตี 1 กว่าๆเท่านั้นหละ พยาบาลก็มาปลุกเราทันที

พอเราตื่นขึ้นมา พยาบาลก็ตรงไปที่ตู้เย็น หยิบเอาหน้ากากออกมาสวมที่จมูกของเรา และถามว่า ใส่ได้ไหมอะ ซึ่งไอ้หน้ากากนี้ ตอนแรกผมก็งงๆคืออะไร มันคล้ายๆหน้ากาก ออกซิเจน แต่ก็ไม่เชิง

ด้วยความงัวเงีย เค้าให้ทำไร เราก็ทำ ให้ใส่หน้ากาก เราก็ใส่ แล้วก็นอนหลับฝันดีต่อไป

พอเช้ามาก็โดนปลุกราวๆ 6:00 งัวเงียมากเพราะโดนปลุกกลางดึก นอนดึก ตื่นเช้าอีก พบาบาลก็จะอธิบายหน่อยๆว่าการนอนเป็นอย่างไร นอนดิ้นไหม หน้าตาพี่พยาบาล อิดโรยมาก แบบคนอดนอน เพราะต้องดูแลเราตลอดทั้งคืน

โดยระหว่างการนอน หลังจากใส่เครื่อง CPAP พยาบาลจะ มอนิเตอร์การนอนของเราว่ามีการกรนไหม ค่าออกซิเจนตกไหม ถ้าตกมาก ก็จะเพิ่มแรงดันลมเข้าไป เพื่อหาค่าแรงดันลมสูงสุดที่พอดีกับความต้องการของร่างกายเรา ซึ่งระบบ CPAP ที่พี่เค้าติดตั้งให้เราจะเป็นแบบปรับค่าด้วยมือ ซึ่งจะแม่นยำที่สุด เพราะมีคนคอยสังเกตุเราอยู่ตลอดเวลา

ตรวจดูท่านอน ว่านอนดิ้น ตะแคง พลิกตัว อะไรไหม

ค่าทุกอย่างจะต้องเอาไปรีพอร์ตให้หมอที่ดูแลเรา อ่านค่ากราฟต่างๆให้เราฟังอีกที

พอเสร็จก็แกะเซ็นเซอร์ ตอนแกะนี่แอบเจ็บ เพราะกาวมันติดตามตัวเหมือนเทปกาว แกะออกมีเจ็บจี๊ดๆ น้ำตาไหลหน่อยๆ อาบน้ำเสร็จก็ลงไปการเงิน จ่ายเงินได้ พร้อมได้บัตรนัดหมอเพื่อมาฟังผล

ผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็มาฟังผลตามที่หมอนัดมา ซึ่งมันจะออกมาเป็นรีพอร์ต หนาราวๆ 5-6 แผ่น ได้ใจความว่า อาการของผมยังไม่มากเท่าไหร่ คือ ยังไม่มีภาวะหยุดหายใจ แต่มีการกรนหนักมาก โดยที่เมื่อผมเริ่มกรน ออกซิเจนจะตกลงจากที่ควรจะเต็ม 100 เหลือราวๆ 80 กว่าๆ ซึ่งก็ไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นหมอฟันธงว่าให้ใช้เครื่อง CPAP แล้วกัน โดยหมอแจ้งว่าผมควรปรับเครื่องที่แรงดันลม เริ่มที่ 4 cmH2O จนไปถึงสูงสุดที่ 10 cmH2O จะสามารถแก้ปัญหาการนอนกรนของผมได้

โดยหมอก็แนะนำบริษัทที่นำเข้า CPAP มาให้เพราะเค้ามีเครื่องให้ทดลองใช้ สำหรับบริษัท ไปลอง Search หากันนะครับ มีไม่กี่เจ้าหรอก แต่จริงๆผมรู้อยู่แล้วหละว่าบริษัทไหน เพราะแฟนผมก็เคยซื้อมาแล้ว 1 เครื่อง

ผมจึงแจ้งหมอแบบตรงไปตรงมาเลยว่า เพื่อนอยู่อเมริกาครับ จะฝากเค้าซื้อเข้ามาเลย ซึ่งพอหมอได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากๆครับ หมอเลยเขียนใบสั่งหมอ ใจความประมาณว่า นาย... จำเป็นต้องใช้ CPAP เพราะมีอาการ .... ดังนั้น ให้ซื้อเครื่อง CPAP รุ่น .... หน้ากากรุ่น .... เป็นเอกสารภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยมีการเซ็นเอกสารโดยคุณหมอเจ้าของไข้

ผมก็งงๆ ว่าต้องขนาดนี้เลยเหรอ หมอก็แจ้งว่า ร้านค้าที่ต่างประเทศ บางครั้งจำเป็นต้องใช้เอกสารในการซื้อ เอาเอกสารไปก่อนแล้วกัน

ขอบคุณหมอมากครับ

พอได้เอกสารมาผมก็ติดต่อสอบถามเพื่อนที่อเมริกาว่า ฝากซื้อหน่อย เดี๋ยวสแกนเอกสารส่งเมลไปให้โดยผมได้ส่งลิ้งสินค้า (ไปหาเอาเองนะครับ จาก Amazon ทั้งน้าน) ไปให้เพื่อนผมด้วย

รายการที่หมอแนะนำมา

1. ResMed AirSense 10 Autoset + ท่ออากาศมาในชุด (SlimLine tube) = 670 USD
2. หน้ากาก AirFit P10 Nasal Pillows System with Headgear = 71 USD
3. หรือ หน้ากาก ResMed AirFit N20 Nasal CPAP Mask = 84 USD
4. ท่อ Climate Line Air Heated Tube for ResMed AirSense 10 = 36 USD

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า รวมของทั้งหมด (หน้ากากเลือกรุ่นไหนก็ได้ 1 รุ่นตามถนัด)
เท่ากับ 670+71+36 = 804 USD x 32 บาท แบบเลขง่ายๆ จะเท่ากับ 25,728 บาท

ไอ้ฉิบหาย ไปดูราคาตามเว็บที่นำเข้ามาขาย โดยที่ผมโทรไปถามแล้วถ้าเครื่องเสียก็ต้องส่งไปต่างประเทศไปซ่อมเหมือนกัน

เอาเป็นว่าฝากคนซื้อเข้ามา ราคาถูกกว่าซื้อกับ บริษัทไทย 3 เท่า เท่านั้นเองครับ

ผมใช้จนมันพังไปเลย เครื่องประกัน 2 ปี ผมมั่นใจว่าเครื่องไม่พังใน 2 ปีแน่นอนครับ

ดังนั้นถ้ามีเพื่อนไปๆมาๆ อเมริกา หรือ ออสเตรเรีย ฝากเค้าซื้อเหอะครับ เครื่องก็ไม่หนักมากประมาณโน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง ใน Youtube ก็สอนวิธีการตั้งค่าเพียบ ไม่ต้องง้อคนสอนก็ได้ครับ พอเพื่อนกลับมาไทยก็พาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ซักมื้อไปเลยครับ

แต่ถ้าอยากตัดความรำคาญ ความยุ่งยาก ก็ซื้อบริษัทไทยครับครบชุดทั้งหน้ากาก เครื่อง ท่อ พร้อมใช้ ราวๆ 60000-70000 บาทครับ

หลังจากได้เครื่องมาผมก็แบกกลับไปหาคุณหมอให้หมอสอนตั้งค่าต่างๆให้ เป็นอันได้เริ่มใช้งาน

รีวิว

เป็นน้ำไปแล้วหลายหน้ากระดาษ แต่ที่ผมต้องท้าวความยาวๆ เพราะกว่าจะมาซื้อ CPAP ต้องผ่านการเทสการนอนก่อนนะ ถึงจะมาจุดนี้ได้

ResMed AirSense 10

https://www.resmed.com/us/en/consumer/products/devices/airsense-10-autoset.html

เป็นเครื่องแบบตั้งที่บ้านที่บริษัท Resmed ทำมาเป็นรุ่นล่าสุด ทำไมถึงบอกว่าเป็นแบบตั้งที่บ้านเหรอครับ เพราะขนาดของมันไม่ได้เล็กนะครับ

หน้าตาของเครื่อง



กว้าง 13 cm. x ยาว 23 cm. x สูง 11 cm. ขนาดถือว่าเกะกะพอสมควร เวลาตั้งที่บ้านไม่เท่าไหร่ครับ วางที่โต๊ะข้างๆเตียงสบายๆ แต่พอเดินทางนี่แหละ โครตเกะกะ เพราะมันกินพื้นที่มาก เหมือนกัน

AirSense 10 ได้ปรับปรุงมาจาก AirSense 9 ที่ภรรยาผมใช้มากครับ เพราะมันเอาส่วนทำความชื้นมาไว้ในเครื่องเลย ไม่เหมือนรุ่นเก่าที่ต้องซื้อระบบ Humidifier เพิ่ม

หน้าตาของเครื่องคล้ายๆรูป 3 เหลี่ยม มีปุ่มกดนิดหน่อย ให้เข้าใจง่าย

ซึ่งเครื่อง AirSense 10 จะมีหลายส่วนมากๆ หน้าที่มันจะทำงานคล้ายๆเครื่องเป่าลม คือ มีฝั่งดูดอากาศเข้า และท่อส่งลมออกมาทางหน้ากาก เพื่อที่จะอัดแรงดันลมเข้าไปที่จมูกของเรา


ด้านอากาศเข้า จะมีฟิวเตอร์ป้องกันเศษฝุ่นขาเข้าเป็นแผ่นบางๆ คล้ายๆสำลีเช็ดหน้า ราคาของมันที่ไทยขายแผ่นละ 100 บาท แต่ถ้าซื้อกับ Amazon จะตกแผ่นละ 20 บาท เองครับ ก็แค่ 5 เท่าเท่านั้นเอง


เหนือช่องใส่ Filter จะมีช่องใส่ SD Card ซึ่งไอ้ SD Card นี่ก็ทำผมงงมาแล้ว เพราะตอนที่ผมซื้อมามันไม่มีมาด้วยครับกับเครื่อง กลายเป็นต้องมาหาข้อมูล ได้ความว่า SD Card อะไรก็ได้ เอามา Format เป็นรูปแบบ FAT32 แล้วใส่เข้าไป เครื่อง CPAP ก็จะสร้าง Folder ใหม่ขึ้นมาเพื่อเก็บค่าการใช้งานของเรา ค่าต่างๆที่เก็บไว้ พอเราเอา SD Card ออกมา (ต้องปิดเครื่องก่อนนะครับ) แล้วเอาไปเสียบคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมอ่านค่ารองรับไว้ เราจะได้ค่าต่างๆออกมาเป็นรีพอร์ตเพื่อเอาไปส่งหมอครับ จะได้ให้หมอประเมินอาการของเราในอนาคต (ลักษณะเหมือน รีพอร์ตที่เราได้ไปทำการเทสการนอน) ซึ่งขนาด SD Card ความจุ 1 GB เท่าที่ผมอ่านมาจากเวบบอร์ดต่างประเทศ จะเก็บค่าได้ราวๆ 365 วัน หรือ 1 ปีครับ ผมเลยไปขุดๆ SD Card ในบ้าน เจอขนาดที่เล็กที่สุดก็ 8 GB แล้วครับ ของที่มากับชุดถ้าเราซื้อเพิ่ม จะเป็นขนาด 2GB ครับ

ใต้ช่องใส่ SD Card จะเป็นที่ต่ออุปกรณ์เสริม สำหรับการสร้าง ออกซิเจน แต่สำหรับผมยังไม่ต้องใช้ เลยยังไม่รู้หน้าที่ของมันครับ

ด้านหน้า



จะมีหน้าจอแสดงผล ปุ่ม Home และ Dial ที่เอาไว้หมุนได้ เพื่อตั้งค่าเมนู Dial สีขาวๆนี้เป็นปุ่มกดได้ในตัวด้วยนะครับ

ด้านบน


มีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม แต่มันทำหน้าที่เหมือนกันทุกปุ่มเลยคือ กด 1 ครั้งเพื่อให้ลมอัดอากาศ กดอีกครั้งเพื่อหยุดลม และกดปุ่ม กลางค้างเพื่อปิดเครื่อง (สังเกตุได้เลย ผมใช้ปุ่ม Stop อยู่ปุ่มเดียวจนมันสึกกว่าปุ่มอื่น)


ด้านข้างอีกฝั่งจะเป็นกระป๋องใส่น้ำ เรียกว่า Humidifier (ผมขอเรียกมันว่า ส่วนใส่น้ำแล้วกันครับ) เพื่อสร้างความชื้นให้เกิดภายในท่อ เพราะถ้ามันมีแต่ลมออกมาเพียวๆ ในต่างประเทศ ซึ่งมีอากาศหลายแบบมาก ไม่เหมือนไทยที่มีอากาศแบบเดียว

ถ้าอากาศแห้งมากๆ เราก็จะแสบจมูก เพราะแรงลมที่อัดเข้าไปแรงพอสมควรครับ เลยมีส่วนใส่น้ำเพื่อสร้างความชื้นให้จมูกเราไม่แห้งจนเกินไป



ส่วนนี้สามารถถอดเข้าออกได้  และควรจะเอากระป๋องไปล้างทุกๆ 1 สัปดาห์ (บริษัทไทยแจ้งว่าควรล้างทุกวัน แต่หมอผม และรีวิวต่างประเทศ บอกว่า อาทิตย์ละครั้ง ) ก็ตามนั้นครับ

ปริมาณน้ำ ต้องเติมไม่เกินขีด MAX และต้องเติมน้ำเลี้ยงไว้เรื่อยๆครับ ถ้าเราเปิดโหมด Humidifier เพราะเครื่องจะทำความร้อนให้น้ำกลายเป็นไอนิดหน่อย เพื่อไม่ให้จมูกแห้ง

ยิ่งถ้าใช้ท่อ Climate Line Air Heated น้ำยิ่งหมดไวมากๆ แล้ว ถ้าน้ำแห้ง คุณจะเจอว่าเครื่องส่วนน้ำ จะไหม้ที่ฐานเลยครับ ผมเคยลืมเติมน้ำมาแล้ว มันจะคล้ายๆเราตั้งน้ำในหม้อแล้วเปิดไฟต้มน้ำเอาไว้จนน้ำแห้ง อันตรายมากครับ สุดท้ายผมปิดระบบ Humidifier ไปเลย ไม่ใช้ดีกว่า



ด้านหลัง จะเป็นฝั่งอากาศขาออก มีรูอยู่ตรงกลาง ซึ่งต้องมีท่อมาต่อ มีขั้วไฟฟ้า เพื่อใช้ร่วมกับท่อ Climate Line Air Heated Tube เพื่อสร้างความร้อนไม่ให้การสร้างไอน้ำจากส่วนใส่น้ำเข้าไปที่จมูกเราโดยตรง มันจะสร้างความร้อนทำให้ไอน้ำระเหยก่อนที่เราจะสูดอากาศเข้าไปในปอด

สำหรับผม ซื้อชุดธรรมดามา (Starter) ในชุดไม่มีท่อ Climate Line Air Heated Tube มาครับ แต่ผมว่าสำหรับประเทศไทย อากาศในห้องแอร์ที่มีการปรับอุณหภูมิ ไม่น่ามีผลอะไรครับ หมอก็ไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องใช้ครับ


ท่อที่ผมใช้เป็นท่อพลาสติกธรรมดาเลยครับ ซึ่งท่อแบบนี้ข้อดีคือ มันอ่อนตัว ทำให้ไม่เกะกะเวลานอน เรื่องท่อเดี๋ยวผมจะแนะนำอีกครั้ง

อะแดปเตอร์ และ สายไฟ


อะแดปเตอร์ สามารถรองรับไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 100V - 240V ดังนั้น เราเอาไปใช้ได้ทั่วโลกครับ มันมีโอกาสอยู่แล้วที่ไปต่างประเทศ แล้วต้องแบกไปด้วย

Output ของไฟฟ้าจะเป็นไฟ 24V 3.75A หายากแน่นอน โดยที่ กำลังไฟฟ้าอยู่ที่ 90 Watt


หัวของ อะแดปเตอร์ ก็ไม่ค่อยเจอในท้องตลาด ส่วนปลั๊กไฟ ตามแบบอเมริกา ก็จะเป็นหัวแบนแบบนี้แหละครับ สะดวกดี

หน้ากาก


(ภาพเวลาสวมหน้ากาก Nasal AirFit P10 Nasal Pillows)

ไปดูตัวอย่างได้ที่เวป Resmed เลยครับ
เครดิต ภาพ https://www.resmed.com/ap/en/consumer/products/masks/airfit-p10.html

หน้ากากที่ผมเลือกใช้ ได้อิทธิพล มาจากภรรยาผมเลยครับ แกว่าหน้ากาก ชื่อ Nasal AirFit P10 Nasal Pillows ซึ่งทางพวกร้านค้าจะเรียกว่า หน้ากากแบบ Pillow คือสอดเข้ารูจมูกเท่านั้น ไม่มีส่วนอื่นมาให้เกะกะ

หน้ากากแบบนี้จะเหมาะกับคนที่เป็นพวกนอนหงาย และนอนไม่ดิ้น เพราะถ้าตะแคงข้าง ตัวหน้ากากอาจหลุดได้ ถ้าหน้ากากหลุดก็จบเห่ครับ เท่ากับเราไม่ได้ใช้งานเครื่องไปเลยทันที

(ResMed AirFit N20 Nasal CPAP Mask)

https://www.resmed.com/ap/en/consumer/products/mask-series/airfit-20-series/airfit-n20.html

ซึ่งจะมีหน้ากากอีกแบบที่เหมาะกับคนนอนตะแคงข้าง เพราะจะมีจุดยึดหลายจุดมาก ไม่หลุดง่ายๆ ชื่อ ResMed AirFit N20 Nasal CPAP Mask ซึ่งแบบนี้ ร้านค้าจะเรียกว่าแบบ Nasal มันจะครอบทั้งจมูกของเรา (เท่านั้น ไม่ได้ไปครอบถึงปาก ไม่เหมือนหน้ากาก ออกซิเจน)


(ภาพเวลาสวมหน้ากาก ResMed AirFit N20 Nasal)

สำหรับท่อ

จะมี 2 แบบ ตามที่ผมได้กล่าวไปก่อนหน้านี้

(รูปมาจากเวป www.resmed.com)

แบบที่ 1 จะเป็นแบบธรรมดา เรียกว่า SlimLine คือ เป็นท่อธรรมดาไม่มีฟังก์ชั่นอะไร แค่ให้ลมผ่านมาเข้าจมูกเราเท่านั้น

(รูปมาจากเวป www.resmed.com)

แบบที่ 2 เรียกว่า Climate Line Air Heated Tube ในรูปจะเห็นว่ามีขั้วไฟฟ้าพิเศษอยู่ ซึ่งถ้าเราเปิดฟังก์ชั่น Humidifier ในเครื่อง เพื่อกำหนดองศา ลมจะมีความอุ่นออกมา เอาไว้ใช้เวลาอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น ไม่งั้นจมูกจะแห้งมาก

ท่อแบบนี้ผมได้ซื้อมาลองใช้ทีหลัง ผมว่าสำหรับประเทศไทย ที่โครตร้อน และเรานอนในห้องแอร์ที่มีการปรับอุณหภูมิอยู่แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นครับ อีกอย่างคือ ท่อมันแข็งกว่ารุ่นธรรมดา ทำให้เกะกะมากกว่าเวลานอน และน้ำในระบบ Humidifier จะลดเร็วมากๆ ต้องเติมน้ำทุกวันด้วยครับ


การทำความสะอาด

สำหรับส่วนที่เป็นซิลิโคน ที่หน้ากาก ส่วนที่ติดไปกับจมูกของเรา ทั้งหน้ากากแบบ P10 และ N20 เราต้องถอดไปล้างวันละ 1 ครั้ง ด้วยนะครับ

ส่วนอื่นๆของชุดหน้ากาก รวมทั้งท่อที่ส่งแรงลม ต้องเอามาล้าง และซัก อาทิตย์และ 1 ครั้งครับ

การตั้งค่า

การตั้งค่าเครื่องนี่ หมอแกว่า อย่าไปกดเล่นเองนะ ให้เอามาให้หมอทำให้ดีกว่า โดนค่าปรึกษาหมอเพื่อตั้งค่าไป 500 บาทถ้วน แต่ผมซนครับ ไหนๆก็ซื้อมาแล้วขอลองซักหน่อย


ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานปรกติ เราจะไม่สามารถตั้งค่าเองได้ ในเมนูจะมีให้ปรับแค่นิดหน่อยๆ ไม่ให้เราซนมาก เดี๋ยวค่าต่างๆจะแปรปรวน จะให้ปรับแค่จะให้หน่วงเวลาในการอัดอากาศไหม จะใช้ระบบความชื้นไหม หน้ากากเป็นแบบไหน หน้ากากแน่นไหม แค่นั้นเอง ส่วน Report ก็น้อยมากๆ แค่ดูอัตราการใช้งานเมื่อครั้งล่าสุดว่าเป็นอย่างไร แค่นั้น



แล้วถ้าจะตั้งค่าเครื่องหละ มันมีปุ่มลับอยู่ เหมือนเล่นเกมส์ ต้องกดปุ่ม 2 ปุ่มพร้อมกัน เครื่องมันจะเข้าไปที่ cpap clinical setting menu ซึ่งการตั้งค่าเครื่องทั้งหมดมันอยู่ที่นี่แหละครับ

หมอได้แจ้งผมอีกครั้งว่า มึงอย่าซน เดี๋ยวเป็นเรื่อง 

ดังนั้นผมขอเตือนทุกท่านที่ใช้เครื่องอยู่ แต่ไม่ได้ตั้งค่าเอง ที่ได้ผ่านมาอ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับว่า อย่าซนมากนะครับ ผมไม่รับผิดชอบใดๆที่จะเกิดกับเครื่องของคุณนะครับ


เมื่อกดเข้า clinical setting แล้ว การตั้งค่าจะละเอียดมากๆ จนแม้แต่หมอเองยังไม่รู้ถึงค่าบางอย่างว่าเอาไว้ทำอะไรเลยนะครับ ลองไปอ่านคู่มือกันดูอีกทีนะ

ซึ่งหลักๆคือ Min - Max Pressure ครับ เพราะเราต้องตั้งค่าให้เหมาะกับที่เราไปทดสอบการนอนกรนมา ว่าระดับสูงสุดของเราอยู่ที่เท่าไหร่ ระบบของเครื่อง จะอัดอากาศเข้าไปช่วยเหลือได้เพียงพอเมื่อคุณกำลังจะหยุดหายใจ

การตั้งค่าหน้ากากและท่อที่ใช้ เพราะจะมีผลโดยตรงกับการคำนวนอากาศภายในระบบ

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ การตั้งค่าเวลา และ วันที่ เพราะจะมีผลกับ Report ทันทีเมื่อเราโหลด Report ไปให้หมออ่านค่าให้

ถ้าคุณมองที่ Report ที่เครื่องได้แจ้งมาในรูป เท่ากับ ผมใช้เครื่องไป 26 วัน จาก 30 วัน เกินกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันอยู่ 21 วัน ค่าเฉลี่ยที่ใช้คือ 5 ชั่วโมง แรงดันอากาศสูงสุดที่ใช้คือ 9.8 เท่าที่ผมรู้มีแค่นี่ครับ ซึ่งมันอ่านค่าได้แค่ 1 เดือน ถ้าเรากดดูในเครื่อง ดังนั้นเราต้องใช้ SD Card พระเอกของเราแล้วครับ

SD Card สามารถเก็บค่าได้ทั้งหมดทุกวัน ตลอดเวลาที่เราใช้เครื่อง CPAP เลยนะครับ

แต่สิ่งที่สำคัญคือ โปรแกรมที่จะเอามาอ่านค่า ชื่อ ResScan ซึ่งคนที่จะมีคือ ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยครับ เวลาเราจะไปหาหมอ เราต้องติดต่อเซลที่ขายเครื่องมาโหลดค่าออกมา ซึ่งมีค่าบริการแน่นอน เศร้าใจมาก เครื่องก็ซื้อของคุณ โปรแกรมดันไม่มีมาให้ ขายมาแค่ Hardware ส่วน Software ตัวเองถือเอาไว้เพื่อที่จะได้ค่าอ่านค่า Report อีกต่างหาก

จริงๆทาง Resmed มี App มือถือนะครับเอาไว้ให้เราเชื่อมต่อกับเครื่องแล้วเอา Report ออกมา

แต่แปลกมากระบบที่อยู่ในเครื่องถูกปิด ไม่สามารถต่อกับมือถือได้ และในเมนูการตั้งค่าก็ไม่มีให้เปิดระบบเชื่อมต่อด้วย ไม่รู้เป็น Bluetooth หรือ Wifi

ดังนั้นเครื่องหิ้วแบบผมก็เครียดดิครับ จะไปโหลดจากไหน เพราะพอโทรไปหาเซลเหมือนจะคิดค่าโหลด Report แพงกว่าเครื่องที่ซื้อกับทางบริษัทเค้า

ผมเลยต้องไปท่องเน็ตหาเอา ........ ได้หรือเปล่า ไม่บอกครับ

เมื่อเราเสียบ SD Card เข้าคอมพิวเตอร์ และเปิดโปรแกรม จะมีการสร้างข้อมูลคนไข้ และโหลดข้อมูลทั้งหมดที่มีใน SD Card ออกมา เป็นรายงานที่หลายหน้ามากๆ ซึ่งเราก็มีหน้าที่ Print Report ไปให้หมอวิเคราะห์การนอนของเราตลอดช่วงที่ไม่ได้นัดกันว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น Report สำคัญมากๆนะครับ

สรุป

สำหรับส่วนตัวผมเอง ตลอดระยะเวลาที่ใช้มาราวๆ 6 เดือน

ช่วงเดือนแรกเป็นช่วงที่ทรมาณที่สุดครับ โครตอึดอัด ไม่ชิน ทั้งหน้ากาก ทั้งสายยาง ยั้วเยี้ยเต็มเตียงไปหมด

หน้ากากก็ต้องมาล้างทุกวัน ท่อก็ต้องล้างทุกๆ 3 อาทิตย์ ส่วนที่เป็นแทงค์ใส่น้ำก็ต้องทุกอาทิตย์

แต่สิ่งที่ได้กลับมาโครตคุ้มเลยครับ

จากผมที่เป็นไมเกรนมานานหลายปี ถ้าเกิดการนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง เป็นอันแน่นอนครับว่าวันถัดไปผมจะปวดหัวไมเกรนแน่ๆ พยายามสังเกตุตัวเองนะว่า เพราะอะไร ทำไมเป็นไมเกรนจนเจอว่าเพราะนอนน้อย

แต่หลังจากใช้เครื่อง CPAP ต่อให้ผมนอนราวๆ 3-4 ชั่วโมง แล้วจำเป็นต้องตื่น ผมก็สามารถอยู่ในวันถัดไปได้ โดยไม่ปวดหัว ซึ่งดีงามมากๆ

พอใช้ไปซักราวๆ 1 เดือน จะเริ่มชิน และเริ่มไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอมในชีวิตแล้ว
ท่อที่ผมใช้เป็นท่อแบบธรรมดาเลย โดยผมได้ทำการปิดระบบ Humidifier ทิ้ง ขี้เกียจเติมน้ำแล้ว จมูกก็ไม่แห้ง อาจเป็นเพราะนอนในห้องที่มีแอร์ปรับอากาศ

ส่วนภรรยาผม ลาขาดจากการง่วงในช่วงบ่าย แม้จะนอนหลับเกินกว่า 8 ชั่วโมงก็ตาม ซึ่งภรรยาผมก็ว่า เดี๋ยวนี้ตื่นเช้ามา สดชื่น พร้อมที่จะไปทำงานทันที

สำหรับผม คงอยู่กับมันไปตลอดชีวิต จนกว่าจะมีเทคโนโลยีอะไร ที่สามารถแก้ไขการกรนได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ CPAP เป็นสิ่งเดียวครับ ที่จะเยียวยาชั่วคราวไปก่อน

หวังว่าชาวนอนกรนจะได้ข้อมูลไม่มากก็น้อย หวังว่าจะไปปรึกษาหมอกันนะครับ อย่าดื้อเลย แก้ตอนยังแก้ได้ ดีกว่ามานั่งเสียใจตอนที่มันหนักขึ้นนะครับ

วิธีการสังเกตุตัวเองว่ามีสิทธินอนกรน แล้วมีปัญหาไหม

1. สรีระของร่างกาย ถ้าเป็นคนตัวตันๆ คอสั้นๆ ให้คาดโทษไว้ได้เลยว่า เข้าข่ายแน่นอน ผมเข้าไปหาหมอวันแรก หมอรีบแจงเลย คนหุ่นหมีแบบคุณ ไม่รอดหรอก
2. ถ้าคุณไม่ได้หุ่นหมี แต่เวลานอน ไม่รู้ว่าตัวเองกรนไหม ลองบันทึกเสียงดู ตั้งอัดซัก ตี 1 ตี 2 ว่ามีกรนไหม
3. ถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว คอแห้ง ปากแห้ง เจ็บคอ กลืนน้ำลายลำบาก อันนี้มีโอกาสมากๆ เพราะเมื่อตอนผมยังผอมๆ ตอนเด็กๆ ผมก็คอแห้งมากๆเวลาตื่นนอน
4. ถ้าคุณเป็นคนนอนเยอะ แต่ระหว่างกลางวันยังง่วงนอน แบบที่ทนแทบไม่ได้ ตาจะปิดให้ได้ อันนี้ คุณอาจเจออาการหยุดหายใจระหว่างเวลานอน ทำให้นอนได้ไม่เต็มที่

อาการเหล่านี้เป็นการแจ้งออกมานะครับว่า เรามีปัญหาการนอนแน่ๆ อย่าปล่อยให้เป็นต่อไปครับ เพราะถ้ายิ่งหนักขึ้นๆ รายการต่อมาที่จะเป็นคือ โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเมื่อสูงอายุมากขึ้นครับ

ด้วยรัก จากกูเอง เตือนตัวกูเอง เมื่อกลับมาอ่านบทความตอนกูดื้อ

อ่ออีกอย่าง อย่าคิดว่าตังเองผอมแล้วไม่เป็นนะครับ เพราะโรคนี้ไม่เกี่ยวกับอ้วนหรือผอม แต่มันเป็นเรื่องสรีระร่างกายล้วนๆ หมอแจ้งมาว่า ไม่ว่าผอม หรือ อ้วนก็เป็นได้ทั้งนั้น แต่แค่คนอ้วน คอสั้น มีโอกาสเป็นมากกว่า

เหมือนเดิม

1. ข้อมูลทั้งหมดออกมาจากผู้บริโภคคนนึงที่ซื้อสินค้าเอง จ่ายเงินเอง รีวิวเอง บ่นเอง ดังนั้นไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครนะครับ

2. ภาพที่ผมถ่ายแบบห่วยๆ ใครอยากเอาภาพไปใช้ เชิญเลยครับถ้าผ่านมาอ่าน

3. การที่ผมให้ข้อมูลต่างๆ ถ้ามีอะไรผิดพลาด กรุณาแจ้งครับ ผมจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง เพราะผมก็เข้าใจแบบนี้ ธรรมดาของผู้บริโภคคนนึง ที่ไม่ได้เข้าใจสุดๆเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์

4. ถ้ามีการพาดพิงถึงใครและไม่พอใจ แจ้งได้นะครับ ยินดีเอาข้อมูลออกครับ เพราะ Blog นี้ผมพิมพ์ไว้อ่านเองอยู่แล้ว




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น